【How to】 เตรียมตัวสอบ MEXT ✍ :: ตอนที่ 2

มาต่อกันที่ตอนที่ 2 นะคะ
ตอนนี้จะขอพูดถึงเรื่องการสอบสัมภาษณ์ ต่อจากกระบวนการต่างๆที่เขียนไปในลิ้งค์ตอนที่ 1 นะคะ
③ การสอบสัมภาษณ์ (Part I: คำถามที่ควรเตรียม และ Tips ในการตอบคำถาม)
  • วันสอบสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะมีขึ้นหลังจากประกาศผลข้อเขียนหนึ่งสัปดาห์ (หมายความว่า เรามีเวลาเตรียมตัวไม่มาก ถ้าเป็นไปได้ เราอยากแนะนำให้ลองคิดคำถาม และศึกษาเรื่อง Study Plan ที่เราเขียนส่งในตอนแรกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลยค่ะ)
  • เท่าที่เห็นคนจะแต่งชุดสุภาพ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีสว่าง สวมสูทสีดำหรือกรมท่าซะส่วนใหญ่ ถ้ายังเป็นนิสิตนักศึกษาอยู่ใส่ชุดนิสิตนักศึกษามาก็ไม่มีปัญหาค่ะ
  • พอมาถึง และใกล้ถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่จะเชิญเราไปที่ห้องรับรองเพื่อให้ทำสมาธิและเพื่แรับทราบคำถามเบื้องต้นที่ต้องใช้ในการแนะนำตัว
  • ห้องรับรองเป็นห้องเงียบๆ ที่โต๊ะตรงกลางจะวางกระดาษเขียนเกี่ยวกับหัวข้อที่เราต้องพูดแนะนำตัวภายใน 3 นาที ให้เตรียมหัวข้อดังนี้เป็นใจความเดียวกันค่ะ
          1)    Introduce yourself
          2)    What is your objective/goal in studying in Japan?
          3)    Study plan
          4)    What is your plan after returning to Thailand?

  • พอถึงคิวสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่ก็จะมาเรียกอีกทีค่ะ ตอนเข้าห้องสอบเพื่อความสุภาพเรียบร้อย และ First Impression ที่ดีแนะนำให้ศึกษาธรรมเนียมไปบ้างก็ดีนะคะ (เราเขียนไว้ในลิ้งค์ตอนที่ 3 นี้ค่ะ)
  • พอเปิดประตูเข้าไป จะพบกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตอนเราสอบมี 3 ท่าน (แต่ตอนที่เพื่อนสอบปีอื่น บางทีก็มีกรรมการ 4 ท่านบ้าง 5 ท่านบ้าง) เป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย หนึ่งในสามท่านเป็นคนของทางสถานทูต (อย่างตอนเราไปสอบเป็นท่านเลขานุการทูต) ซึ่งมักถามคำถามเกี่ยวกับประวัติของเรา และเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นค่ะ
  • เมื่อนั่งเป็นที่เรียบร้อย กรรมการท่านที่เป็นเลขาฯทูตจะพูดแนะนำ flow ของการสอบสัมภาษณ์ และเชิญให้เราพูดบทแนะนำตัวประมาณ 5 นาที จะพูดเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นก็ได้ (ตอนแรกเราเตรียมบทพูดแนะนำตัวจากบ้าน ลองจับเวลาได้ 3 นาทีกว่าๆ แต่พอพูดจริงก็น่าจะเกินเพราะตัวเองประหม่าด้วย เลยคิดว่าพูดจริงก็น่าจะ 4 นาทีนี่แหละค่ะ ตรงนี้ไม่จับเวลา แต่ก็ไม่ควรพูดยาวจนกินเวลากรรมการถามคำถามนะคะ)
  • หลังจากนั้นกรรมการก็จะยิงคำถามที่หลากหลายเลย แต่หลักๆก็จะมาจากใบ Application Form กับ Study Plan ที่เราเขียนค่ะ
  • คำถามที่แต่ละคนโดนถามก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการแนะนำตัว และงานวิจัยว่าชัดเจนมาแค่ไหน มีอะไรที่เขาอยากรู้อีกไหมค่ะ จากที่ฟังมาจากเพื่อน บางคนถูกถามเรื่องทั่วไปมากกว่า Study Plan ก็มี บางคนถูกถามเจาะลึกเรื่อง Study Plan เลยก็มีค่ะ
  • เราขอสรุปลักษณะคำถามที่กรรมการออกเป็น 6 ประเภทนะคะ คือ
1)    เรื่องส่วนตัว/ประวัติของผู้สมัคร
อันนี้กรรมการท่านที่เป็นเลขาฯทูตมักจะถามเป็นคำถามแรกๆเลย เช่น ปีแรกเราโดนถามว่า คนส่วนใหญ่มักจะเรียนแล้วทำงาน แต่ทำไมคุณถึงคิดจะเรียนต่อหลังจากที่ทำงานแล้วหรอ ส่วนปีนี้โดนถามว่า ทำไมตอนเด็กๆ คุณถึงย้ายโรงเรียนบ่อยหรอ (เขาอธิบายตามว่ารู้สึกว่าปกติคนไทยไม่ค่อยเปลี่ยนโรงเรียนกัน) ค่ะ
2)    เรื่องที่กรรมการมีความสนใจร่วม (มี 共通点 กับเรา)
เช่น ถ้าเคยไปแลกเปลี่ยน กรรมการก็อาจจะถามว่าเคยไปแลกเปลี่ยนที่นี่มาใช่ไหม โรงเรียนอยู่ตรงไหน เพราะคนใกล้ตัวเขาก็มาจากที่นั่นเหมือนกัน หรือ กรรมการที่เคยไปสอนระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยเรามาก่อน ก็อาจจะถามว่ารู้ไหมว่าตอนนี้ที่คณะมีอาจารย์ทั้งหมดกี่ท่าน
3)    เรื่องเกี่ยวกับอนาคต (เส้นทางหลังจากที่สำเร็จการศึกษาทุนนี้แล้ว)
เช่น  -     ตั้งใจว่าจะเรียนต่อจนถึงปริญญาเอกเลยหรือเปล่า
-        คุณบอกว่าถ้าเป็นไปได้อยากจะกลับมาสอน ไม่ทราบว่าอยากสอนคนกลุ่มไหนหรอ (อาจตอบได้ทั้งว่าคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นระดับไหน หรือนักศึกษาระดับไหนเลย) ถ้าอยู่ต่างจังหวัดอาจโดนถามด้วยว่า อยากกลับไปสอนที่บ้านเกิดตัวเองไหม
-        เมื่อกี้คุณบอกว่าอยากทำงานเพื่อสังคม ช่วยระบุหน่อยได้ไหมว่าเป็นงานที่ไหน/แนวไหน
4)    เรื่องเกี่ยวกับงานวิจัย
อันนี้ถ้าได้เขียนมาใน Study Plan ชัดเจนแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่กรณีที่ตอนส่งเอกสารยังไม่ได้เขียนชัดเจน ก็อยากให้เตรียมคำถาม-คำตอบไปอุดรอยรั่ว เผื่อถูกถามค่ะ
ตัวอย่างคำถามก็อย่างเช่น
- ทำไมถึงอยากทำวิจัยนี้
- ทำไปแล้วจะได้อะไร
- ทำไมต้องทำที่ญี่ปุ่น (ทำที่ไทยไม่ได้หรอ)
- ทำไมถึงเลือกทำวิจัยด้วยวิธีนี้/เก็บข้อมูลแบบนี้
- Study Plan ที่เราคิดมันเชื่อมโยงกับงานที่ทำอยู่อย่างไร
5)    เรื่องมหาวิทยาลัย และอาจารย์ที่เราเลือก
-        อันนี้โดนถามถามแทบทุกคนค่ะ แนะนำให้ศึกษาอาจารย์ และผลงานของอาจารย์บ้าง (หากมีเวลาได้ลองอ่านงานวิจัยของอาจารย์ และจำชื่อวิจัยไปยกตัวอย่างได้จะดีมากเลย)
-        มีข้อควรระวังนิดนึงค่ะ คืออยากให้ลองตรวจทานดูด้วยว่า อาจารย์ที่เราเลือกไปเบื้องต้น 3 ท่าน อายุประมาณเท่าไร เพราะหากอาจารย์ใกล้เกษียณแล้ว ก็จะรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาได้ยากค่ะ (ตรงนี้เพื่อนๆอาจจะลองเข้าไปดูที่หน้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัย หรือเว็บไซต์นักวิจัย แล้วคำนวณปีที่อาจารย์เริ่มเรียน/เรียบจบคร่าวๆดูก็ได้ค่ะ)
6)    เรื่องอื่นๆ
-        โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นเช่น มีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่น ชอบอะไรของญี่ปุ่น ทำไมถึงชอบภาษาญี่ปุ่น แต่ก็มี Random คำถามแนวอื่นด้วย เช่น หนังสือที่ชอบ/หนังสือที่อ่านอยู่ งานอดิเรก จุดแข็งของเรา
·        แต่ละคำถาม กรรมการจะถามสลับๆกันไป พอได้เวลาหรือหมดข้อสงสัย กรรมการที่เป็นเลขาฯทูตก็จะพูดปิดจบว่า สิ้นสุดการสอบสัมภาษณ์แล้ว ขอขอบคุณมากเลยนะ เราก็เตรียมตัวออกจากห้องค่ะ
-----------------------------------------------
ต่อมาขอพูดถึง Tips ในการตอบคำถามกันบ้างนะคะ
 เราว่าจุดนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากๆเลย อยากให้คิดอยู่เสมอว่า เราจะทำยังไงให้เวลา 15 นาทีที่กรรมการให้มามีค่า และทำให้กรรมการเห็น Passion ให้ตัวเรามากที่สุด ตรงนี้ขออนุญาตแบ่งเป็น 7 ข้อนะคะ
① เขียนบทแนะนำตัวให้กระชับ
                  -        กลับมาดูเรื่องหัวข้อต่างๆ ที่ต้องพูดในบทแนะนำตัวกันอีกครั้งนะคะ
-        ตรงนี้อยากให้เราลองมองทั้งในมุมมองตัวเอง และมุมมองกรรมการค่ะ มีรุ่นพี่เคยกล่าวไว้ว่า ให้ลองคิดว่าเราจะทำยังไงให้คนที่ไม่เคยอ่านเอกสารของเรา ไม่เคยรู้เรื่องเรามาก่อนเข้าใจได้ค่ะ
-         มาลองดูส่วนประกอบของบทแนะนำตัวกันนะคะ ขออนุญาตหั่นเป็นสี่ส่วน ตามคำถามที่ได้รับมาค่ะ
1)  Introduce yourself
      - พยายามแนะนำตัวเองให้ผู้ฟังรู้จักถึง Past-Present-Future / อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
     - ทั้งนี้หัวข้อที่ 4 ถือเป็นการแนะนำเรื่องอนาคตของเราแล้ว เพราะฉะนั้นในหัวข้อที่ นี้พูดถึงเรื่องอดีตจนถึงปัจจุบันก็พอค่ะ)
      - อย่างของเราก็พูดถึง
ชื่อ - จบสาขาอะไร จากที่ไหน ตอนปีไหนมา - ที่ผ่านมาเคยทำงานที่ไทยและญี่ปุ่น – จุดเปลี่ยนที่คิดอยากเรียนต่อ – สิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้
ย่อหน้าแรกเราตั้งใจจะใช้เวลาพูดไม่เกิน นาที และด้วยเวลาที่จำกัด เราก็พูดถึงงานที่ผ่านมาโดยไม่ได้แจกแจงเนื้องาน (เพราะกรรมการสามารถอ่านชื่อบริษัท และลักษณะงานที่ทำได้จาก Application Form ประกอบอยู่แล้ว)

2)  What is your objective/goal in studying in Japan?
      - พยายามคิดคำตอบที่เชื่อมกับ Study Plan ของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญ/จำเป็นที่ทำให้กรรมการรู้สึกว่า เพราะอย่างนี้ไง เราถึงต้องไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น และที่สำคัญต้องพูดออกมาจากใจจริงค่ะ
      - ตรงนี้เราพยายามพูดถึงการเรียนต่อ ซึ่งเชื่อมกับงานวิจัยนี้ได้ คือ อยากจะขัดเกลาภาษาญี่ปุ่นตัวเองไปพร้อมๆกับเข้าใจปัญหาสังคม และหาทางแก้ไขค่ะ

3)  Study plan
      - ตรงนี้สำคัญที่สุดเลย⭐⭐⭐ เราให้เวลาพูดย่อหน้านี้เยอะมากๆ เพราะได้ยินมาว่า Study Plan ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เขาให้โอกาสเราเลยก็ว่าได้
      - ส่วนประกอบของเราเขียนในย่อหน้านี้ประกอบด้วย
         1) ชื่องานวิจัย (+อนุญาตให้อธิบายขยายความได้เล็กน้อย)
         2) ความสำคัญของงานวิจัย
        3) กลุ่มเป้าหมาย/กลุ่มตัวอย่างที่อยากศึกษา
         4) วิธีการศึกษา (เช่น เก็บข้อมูลโดยรวบรวมเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ ฯลฯ อย่าลืมบอกด้วยนะคะว่าเอกสารแนวไหน/จากที่ไหน สัมภาษณ์ใคร สังเกตการณ์อะไร)
          5) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (ตรงนี้ถ้ามีมากกว่า ข้อจะฟังดูมีน้ำหนักดีมากเลย)

4)  What is your plan after returning to Thailand?
      - ตรงนี้พยายามพูดให้ชัดเจนให้ได้มากที่สุดจะดีมากเลย เช่น ถ้าบอกว่าอยากเป็นสะพานเชื่อมระหว่างญี่ปุ่นกับไทย (日本とタイの架け橋になりたい) ก็ควรอธิบายว่าทำอย่างไร สอนหนังสือ? (+สอนใคร? ที่ไหน?) หรือทำงานแขนงที่ได้ศึกษาก็อาจจะบอกว่าอย่างไร
      - ถ้าพูดย่อหน้านี้ไม่เคลียร์ กรรมการอาจจะซักถามสักเล็กน้อยในช่วงถามคำถามค่ะ อย่าลืมลองเกร็งคำถามคำตอบกับตัวเอง และเตรียมคำศัพท์ที่คิดว่าอาจจะต้องใช้ตอบไปนะคะ

    ถ้ารู้สึกว่าเวลาเหลือ ก่อนเริ่มแนะนำชื่อตัวเองอาจเพิ่มบทไปว่า “このたび面接の機会をいただき、誠にありがとうございます。(ขอบคุณอย่างมากเลยนะคะที่ให้โอกาสดิฉันมาสัมภาษณ์ในครั้งนี้)” และตอนพูดหัวข้อที่ จบก็ปิดท้ายด้วย “以上です。本日よろしくお願いいたします。(เสร็จสิ้นการแนะนำตัวของดิฉันแล้วค่ะ วันนี้ก็ขอความกรุณาด้วยนะคะ)”

② พยายามตอบคำถามให้ชัดเจน (具体的) มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
-        ขั้นแรกตอบ Main idea ก่อน แล้วพยายามทำให้เห็นภาพโดยการใส่ Episode หรือบอกเล่าความรู้สึกลงไป เพื่อให้เห็นภาพตามได้ง่าย และประทับในใจกรรมการด้วย
-      เช่น เวลาว่างชอบทำงานอาสาสมัครค่ะ สมัยอยู่มหาวิทยาลัยเคยไปสอนหนังสือให้เด็กด้อยโอกาสที่ xxx รู้สึกประทับใจมากเลย

③ ตอบคำถามโดยแจกแจงเป็น ข้อ
-        อันนี้เอาไปประยุกต์ใช้กับการพูดสาเหตุ ประโยชน์ หรืออะไรที่เป็นจัดเป็นหมวดหมู่ได้ เช่น สิ่งที่ทำให้ชอบญี่ปุ่น นิสัยของตัวเอง เป็นต้น
-        ตัวอย่างเช่น ข้อดีของดิฉันมี 3 ข้อ คือ เป็นคนทำงานประณีต เป็นคนวางแผน และเป็นคนคิดบวกค่ะ (+ยกเหตุผลหรือ Episode มาอธิบายเสริมด้วย)

④ หากนึกไม่ออกให้ทวนคำถามก่อนจะตอบ
-         เช่น "จากคำถามที่คุณถามว่า ทำไมดิฉันถึงเรียนภาษาญี่ปุ่น" เหตุผลมีทั้งหมด 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ
-        และถ้าให้ดี พอบอกคำตอบ 3 ข้ออันนั้นแล้วปุ๊บ ก็สรุปจบสวยๆอีกทีว่า "ด้วยเหตุผลดังกล่าว ดิฉันจึงตัดสินใจที่ จะเรียนภาษาญี่ปุ่นค่ะ"

⑤ ถ้าตอบคำตอบ หรือ Episode ที่เชื่อมกับงานของเขา หรือเอื้อต่อเรื่องที่เขาสนใจได้จะดีมาก
                     -        เช่น สมมติเราสมัครทำงานที่ต้องพูดคุยกับลูกค้า ก็อาจจะยกว่า ข้อดีของดิฉันคือ เป็นผู้ฟังที่ดี หรือ ถ้าสมัครพวกบริษัทที่ต้องมีตัวเลขก็อาจจะบอกว่า ดิฉันเป็นคนรอบคอบ

⑥ พูดสิ่งที่เป็นลบ ให้เป็นบวก
-        เช่นเวลาพูดถึงข้อเสียของตัวเอง ก็อยากให้ลองมองอีกด้านนึงของมันด้วยว่าข้อเสียนั้นสามารถเป็นข้อดีได้ด้วยหรือไม่ ลองพยายามหาสิ่งที่เป็นบวกมาพูดปิดท้ายค่ะ
-        อย่างของเรา ตอบคำถามที่ว่า ทำไมถึงย้ายโรงเรียนบ่อยว่า เพราะที่บ้านแยกทางกัน และไม่มีเวลา เลยต้องย้ายมาเรียนที่บ้านย่า (ส่วนที่เป็น) แต่อย่างไรก็ตามดิฉันมันก็มีข้อดีตรงที่ทำให้ดิฉันมีประสบการณ์เรียนในการศึกษาหลายแบบ และมีเพื่อนมากค่ะ  (ส่วนที่เป็น)

⑦ การเลือกใช้คำ
-         เราจะเห็นได้ว่า คำถามตรงนี้ไม่ได้ยากมาก หรือวิชาการจ๋า แต่กลับเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกดดันตัวเองมากนะคะ
-         เท่าที่ฟังรีวิวมา รวมถึงประสบการณ์ตัวเรา เราคิดว่า คำศัพท์ที่ใช้ไม่จำเป็นต้องหรูหรา เพราะฉะนั้นพูดคำที่เรามั่นใจก็ได้ค่ะ (ยกเว้นแต่ศัพท์เฉพาะที่จำเป็นอะไรแบบนี้ จำไปบ้างก็ดีค่ะ) และที่สำคัญเลยคือ ต้องสื่อสารได้ตรงประเด็น มีความจริงใจ เป็นตัวของตัวเองค่ะ
-----------------------------------------------
สุดท้ายนี้ อยากจะฝากว่า 15 นาทีในห้องสอบผ่านไปไวมาก เราคิดว่า การมีสติ และการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญมากๆเลย อย่าลืมจัดบุคลิกภาพตัวเองให้ดี ดูน่าเชื่อถือ สบตากับกรรมการด้วยค่ะ
ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนตื่นเต้นง่าย ไม่ถนัดการพูดต่อหน้าชุมชน จำบทไม่เก่งแบบเรา เราแนะนำให้ฝึกฝนมากเป็นพิเศษค่ะ วิธีของเราคือ
- ทำความเข้าใจแล้วพูดออกมา (อาจจะหาเพื่อน หรือตุ๊กตา หรือรูปคนที่ชอบมาตั้งไว้ สมมติว่าเป็นผู้ฟังก็ได้)
- ทำแผ่นป้ายคำถามไปแปะในห้องน้ำ แล้วซ้อมพูดตอนอาบน้ำ
- ซ้อมแบบจับเวลา แล้วลองหาสถิติเฉลี่ยตัวเองว่าปกติพูดอยู่ที่ประมาณกี่นาที (ตอนเข้าห้องสอบ อาจมีเวลาที่ตื่นเต้นจนยากที่จะนึกบทให้ออก เพราะฉะนั้นต้องเผื่อเวลาตรงนั้นไปด้วยนิดหน่อยนะคะ)
- พูดแล้วอัดเสียงตัวเองไว้เปิดกรอกหูตอนนั่งรถ ตอนก่อนนอนก็ได้ค่ะ

ปล. ก่อนสอบ เพื่อนเราบอกว่า ให้หายใจเข้าลึกๆ ช่วยได้มากจริงๆค่ะ ทำใจให้สบายนะคะ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีค่ะ :-)
-----------------------------------------------
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ
สำหรับใครที่สนใจเรื่องมารยาทให้ห้องสอบ เราโพสต์ไว้ในลิ้งค์ 【How to】เตรียมตัวสอบ MEXT ✍ :: ตอนที่ 3 นะคะ
ลองอ่าน และฝึกเปิดประตู ฝึกโค้งกันได้ค่ะ♪ 

Comments

Popular posts from this blog

【แปลเพลง+Behind the story】 TOHOSHINKI / Asu wa kuru kara

【How to】 เตรียมตัวสอบ MEXT ✍ :: ตอนที่ 1

【How to】 เตรียมตัวสอบ MEXT ✍ :: ตอนที่ 3